โปรโมชั่น ดีๆ ที่ USUNGAME เท่านั้น

โปรโมชั่นคืนยอดเสีย รับโบนัส 3% ไม่จำกัด ทุกวัน

เงื่อนไข : การคืนยอดเสีย เริ่มรับได้ ทุกวัน ตั้งแต่ เวลา 01.00 น. ถึงเวลา 23.59 น. ของทุกวัน และรีเซทใหม่ทุกวัน

***บริษัทขอสงวนสิทธ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ยกเลิกได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

วิตามินอี ไม่มีไม่ได้แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องผิวพรรณ แต่วิตามินอียังเป็นวิตามินอีมีประโยชน์ ต่อสุขภาพโดยรวมของมนุษย์อย่างมาก ดังนั้นวันนี้แอด LOTTOSOD จะพาไปดูกันว่าประโยชน์ที่ว่านี้ มีอะไรบ้าง แล้วจะเข้าใจว่าเหตุใดมนุษย์เราจึงขาดวิตามินไม่ได้ ก่อนจะรู้จักประโยชน์เรามาทำความรู้จักวิตามินอีกันก่อนนะคะ

วิตามินอี หรือภาษาอังกฤษเรียก โทโคฟีรอล (Tocopherol) เป็น Powerful Anti-Oxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก อีกตัวหนึ่ง ถือเป็นเพื่อนซี้ปึกของวิตามินซีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากทั้งคู่เป็น สารต้านอนุมูลอิสระพลังสูงที่ช่วยปกป้อง พร้อมทั้งบำรุงเซลล์ผิวให้ต่อสู้ กับอนุมูลอิสระได้ดีมาก

วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ผู้ที่รับประทานไขมันอย่าง เพียงพอจะทำให้เกิดการดูดซึมวิตามินอีมากขึ้น วิตามินอีแบ่งออกเป็น 8 ชนิด เช่น แอลฟา-โทโคฟีรอล (Alpha-tocopherol) แกมมา-โทโคฟีรอล (Gamma tocopherol) เบตา (Beta) เดลตา (Delta) เป็นต้น แต่ที่มี ความสำคัญและรู้จักอย่างแพร่หลายมากที่สุดคือ คือ แอลฟา-โทโคฟีรอล กับ แกมมา-โทโคฟีรอล

วิตามินอี ไม่มีไม่ได้แล้ว
วิตามินอี ไม่มีไม่ได้แล้ว-lorenzogovoni.com

วิตามินอี ไม่มีไม่ได้แล้ว” ประโยชน์ของวิตามินอี ที่ควรรู้  

ถ้าร่างกายขาดวิตามินอี

วิตามินอี มีมากเกินไปก็ใช่จะดี

เมื่อรู้ว่าวิตามินอีมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยให้ผิวพรรณ อ่อนเยาว์ได้ดี หลายคนอาจเกิดความคิดที่จะหาซื้อวิตามินอีมารับประทาน เสริมให้มากเข้าไว้ ซึ่งหมอขอเตือนว่าอย่าได้ทำเป็นอันขาดนะครับ เพราะ แม้วิตามินอีจะจำเป็นต่อร่างกายมากแค่ไหน แต่ถ้ามีมากเกินไป จากที่เคย เป็นคุณตำรวจผู้แสนดี พอมีพวกมากก็อาจเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้ก่อการร้าย ที่เราต้องเฝ้าระวังแทน

ข้อดีของวิตามินอี คือ ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนง่าย แต่หาก มีมากเกินไปจะทำให้เลือดแข็งตัวข้า เลือดไหลเร็ว และหยุดไหลยาก หาก รับประทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินอี หรือน้ำมันปลา ก็ควรระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เนื่องจากอาจทำให้เลือดไหล ไม่หยุด หรือหยุดเลือดไม่ทันจนเป็นอันตรายแก่ชีวิต ในกรณีที่ต้องเข้ารับ บริการทางการแพทย์ซึ่งต้องเสียเลือด เช่น ฉีดยา ทำฟัน ผ่าตัดศัลยกรรม ต่างๆ และตัวผู้เข้ารับการรักษาได้รับประทานอาหารเสริมวิตามินอี รวมถึงอาหารเสริมจำพวกน้ำมันปลาอยู่เป็นประจำ ขอให้แจ้งแพทย์ทุกครั้ง เนื่องจากจะต้องวางแผนรักษา โดยทั่วไปแพทย์จะให้หยุดรับประทานวิตามินอีก่อนอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง คือ ผู้ที่รับประทานยาจําพวก ยาสลายลิ่มเลือด แอสไพริน ยาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดในสมอง คนกลุ่มนี้ จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะรับประทานวิตามินเป็นอาหารเสริมเสมอ เพราะวิตามินอีอาจไปเสริมฤทธิ์ยาที่รับประทานอยู่ จนทำให้ เกิดภาวะเลือดไหลเร็วและหยุดยากไปกันใหญ่ได้

วิตามินอีมีประโยชน์-lorenzogovoni.com

วิตามินอี… ควรกินเท่าไรจึงจะดี

คําถามยอดฮิตนี้จะตามติดไปทุกหัวข้อที่เกี่ยวกับวิตามิน “ต้องกินวิตามินอีวันละกี่มิลลิกรัมถึงจะดีต่อสุขภาพคะคุณหมอ คำตอบก็เหมือนกับที่เคยตอบในหัวข้อวิตามินซีครับ คือ เราควรจะ ทราบระดับวิตามินอีในร่างกายเราว่ามีอยู่แล้วเท่าไร พอเพียงหรือยัง เสียก่อน จากนั้นจึงจะบอกได้ว่าแต่ละคนควรกินวิตามินอีในปริมาณเท่าไร ต่อวันจึงจะดีที่สุด เพราะวิตามินอีนั้นมีน้อยเกินไปก็ทำให้สุขภาพมีปัญหา แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้ดังที่บอกไปแล้วก่อนหน้านี้

ในต่างประเทศ มีงานวิจัยเกี่ยวกับระดับวิตามินอีในเลือดมากมาย ในเรื่องของผิวพรรณส่วนใหญ่จะวิเคราะห์จากแขนงของวิตามินอี 2 ตัว คือ แกมมา-โทโคฟีรอล และ แอลฟา-โทโคฟีรอล

โดยได้เกณฑ์ที่เหมาะสมดังนี้

1. ระดับแกมมา-โทโคฟีรอล ในเลือดมนุษย์ควรจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-6.2 ไมโครโมล/ลิตร นั่นคือ

2. ระดับแอลฟา-โทโคฟีรอล

การวิจัยเรื่องพันธุกรรม (Genetics) เจริญก้าวหน้าไปมาก หนึ่งในผลจากความก้าวหน้านั้นทำให้ค้นพบ 3 รหัสพันธุกรรมหลัก ที่เกี่ยวข้องกับวิตามินอีในแต่ละบุคคล ได้แก่   1. ZPR1 (Zinc Finger Protein ZPR1) 2. SCARB1 (Scavenger Receptor Class B Member 1) 3. CYP4F2 (Cytochrome P450 Family4 Subfamily F Member 2)   รหัสพันธุกรรมเหล่านี้คือกุญแจที่จะนำเราไปสู่คำตอบว่าคนคนนั้น มีวิตามินที่อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ซึ่งผลที่ได้นี้มีประโยชน์อย่างมาก ในด้านการวางแผนโภชนาการเพื่อสุขภาพ เช่น   หากผลออกมาว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ คนคนนั้นก็สามารถกินอยู่ อย่างเดิมได้ไม่จำเป็นต้องไปหาวิตามินอีมาเพิ่มให้เกิดภาวะวิตามินอีเกิน จนกลายเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้ามีน้อยเกินไปคนคนนั้นก็ต้องได้รับ วิตามินอีมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ที่มีระดับวิตามินอีในร่างกายมากเกินเกณฑ์ ก็จำเป็นต้องลดการรับวิตามินอีลง

วิตามินอีดีๆ หาได้จากที่ไหน

หากมีภาวะขาดวิตามินอี หมอแนะนำให้แสวงหาวิตามินอีจากอาหาร ก่อนเลยครับ เพราะอาหารมากมายอุดมด้วยวิตามินอีตามธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น

1. อาหารกลุ่มถั่วและธัญพืช ถั่วและธัญพืชเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินอี จัดเป็นอาหารชั้นเลิศของการ บำรุงผิวพรรณเลยก็ว่าได้ หัวโจกของกลุ่มนี้ ได้แก่ อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ฮาเซลนัต ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง เม็ด มะม่วงหิมพานต์

2. กลุ่มพืชผักผลไม้ ผักและผลไม้ที่ช่วยบำรุงผิวได้ดีเพราะมีวิตามินอีมาก เช่น อะโวคาโด ผักโขม คะน้า ทีวี บรอกโคลี พริกหวาน หน่อไม้ฝรั่ง

3. กลุ่มสัตว์ สัตว์ที่มีวิตามินอีมากคือปลาน้ำลึก เช่น ปลาเทราต์ ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาดุกบ้านเราก็นับว่าใช้ได้ เนื่องจากปลาน้ำลึกจะอยู่ในเขตน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ ทำให้ ธรรมชาติพวกมันต้องผลิตไขมันมาห่อหุ้มร่างกายให้อบอุ่น ซึ่ง ไขมันปลานี่แหละครับที่อุดมไปด้วยวิตามินอี

แหล่งอาหารที่มีวิตามินอี-lorenzogovoni.com

เตือนไว้หน่อยคะว่าวิตามินอีกับแอลกอฮอล์เป็นของที่ไปด้วยกัน ไม่ได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลให้การดูดซึมของวิตามินอีลดลง จึงไม่ควร รับประทานพร้อมกัน นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของคนที่อยากดูอ่อนเยาว์ ผิวพรรณสดใสเต่งตึงจะต้องเลี้ยงแอลกอฮอล์ให้ได้

พอรู้ประโยชน์ของวิตามินอีกันแล้ว วิตามินอี ไม่มีไม่ได้แล้ว หลายท่านคงนึกคำนี้ในใจกันใช่ไหมละคะ วิตามินอีนี้นอกจากปกป้องผิวเราจากแสงแดด ฝุ่นต่างๆแล้ว ยังช่วยบำรุงจากภายในทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเซลล์เนื้องอกหรือเซลล์ ที่กำลังจะกลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยดังนั้นวิตามินอี ไม่มีไม่ได้แล้ว และสิ่งที่ไม่มีไม่ได้คือเงินสินะคะ มาทางนี้เลยจ้าคุณพี่ขา สมัครสมาชิกLOTTOSOD ช่องทางการหารายได้เพิ่มเติมของคนจะรวยค่ะ มีเกมมากมายให้ทุกท่านได้เลือกเล่นแบบไม่เบื่อกันไปเลย